วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ระบบการศึกษาไทย



ระบบการศึกษาไทย

1. ความหมายและแนวคิด
               

 ระบบการศึกษา หมายถึง การกำหนดหลักสูตร จุดมุ่งหมาย แนวนโยบาย ระบบการจัด และแนวทางในการจัดการศึกษา เพื่อให้การศึกษาช่วยพัฒนาชีวิตของคนไปในแนวทางที่พึงประสงค์
                การศึกษาเป็นกระบวนการสร้างและพัฒนาประชากรของประเทศให้มีพลัง มีความสามารถที่จะพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างมีสันติสุข การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือพัฒนาพัฒนาประชากรและประเทศชาติ และการที่จะดำเนินไปได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพจะต้องอาศัยกระบวนการศึกษาที่ได้รับการพัฒนามีดีแล้ว
                การศึกษามีส่วนสำคัญและจำเป็นในการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรม และสร้างภูมิปัญญาให้แก่สังคม
                ระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพต้องมีเนื้อหาสาระ และกระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ มีหลักการที่ดี และจำเป็นต้องอาศัยการบริหารที่กระจายอำนาจให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด
                ระบบการศึกษาได้รับการพัฒนามาตลอด แต่ยังไม่สามารถบรรลุผลตามที่กำหนดไว้เท่าใดนัก เพราะยังมีปัญหาด้านคุณภาพของผลผลิต ด้านการกระจายโอกาสทางการศึกษา ด้านการบริหารการศึกษา และด้านการระดมสรรพกำลังเพื่อจัดการศึกษา
                ความจำเป็นในการปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับเงื่อนไข และการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องตระหนัก ทั้งนี้เพื่อให้สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสมกับสภาพ และความต้องการของประเทศในอนาคต
                ดังนั้น การพัฒนาพลเมืองของประเทศให้เป็นผู้มีปัญญา มีคุณธรรม มีความสามารถพื้นฐานหรือศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป กอปรทั้งให้ความสามารถประกอบอาชีพหรือเป็นแรงงานสำหรับพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการศึกษาที่ดี
                ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องมีความยืดหยุ่น ให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสนใจ ความพร้อม ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและตลอดชีวิต มีเครือข่ายการเรียนรู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้ประเภทต่างๆ จากแหล่งต่างๆ ไปยังผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่องโดยอาศัยทั้งระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และถึงระบบโรงเรียน
 2. ระบบการศึกษาที่ดี
               

 ระบบการศึกษามีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัดการศึกษาของประเทศ ถ้าระบบการศึกษาที่กำหนดไว้ดี สอดคล้องกับสภาพ ปัญหา และความต้องการของทั้งส่วนตนและประเทศก็จะส่งผลดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมือง เพราะการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนา
                ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ และคณะ(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2524) ได้เสนอแนวคิดและหลักการปรับปรุงระบบการศึกษาไว้พอสรุปได้ดังนี้
                เนื่องจากระบบการศึกษามีผลเกี่ยวโยงถึงด้านกำลังคนหรือกำลังแรงงานของประเทศในระดับต่างๆ เพราะระบบการศึกษาเป็นกระบวนการผลิตกำลังคนที่สำคัญยิ่ง ดังนั้นจึงควรอยู่ในกรอบแนวคิดต่อไปนี้
                1) กำหนดความมุ่งหมายในการจัดการศึกษา โดยเน้นความมุ่งหมายหลัก 3 ประการ คือ
                                (1) ต้องจัดการศึกษาเพื่อให้เป็นคนรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล มีระเบียบวินัยและขยันขันแข็งในอาชีพการงาน
                                (2) ต้องจัดการศึกษาให้มีทักษะในวิชาชีพ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
                                (3) ต้องจัดการศึกษาโดยระดมสรรพกำลังจากภาคเอกชน สถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอบรม
                2) จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการเกษตรแผนใหม่ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการจัดการที่เหมาะสม เพราะเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของคนส่วนใหญ่ ดังนั้นระบบการศึกษาจะต้องพัฒนาบุคคลให้มีทักษะในวิชาชีพอย่างแท้จริงและนำเอาการศึกษานอกระบบโรงเรียน และการฝึกปฏิบัติการมาใช้
                3) จัดระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับการประกอบอาชีพ โดยการนำเทคนิควิทยามาใช้ กอปรทั้งให้รู้ถึงการจัดการ การตลาด และการวิจัยค้นคว้า
                4) จัดแก้ไขปัญหาการผลิตกำลังคน โดยการขยายสวัสดิการสังคม การส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ และการสร้างงานใหม่ๆ
                5) จัดระบบการศึกษาที่ส่งเสริมการจัดวิชาชีพทั้งในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน การส่งเสริมอาชีพ ตลอดทั้งการวิจัย และส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาชนบท
                ในการพิจารณาปรับปรุงระบบการศึกษานั้น ควรยึดหลักการต่อไปนี้
                1) การศึกษาต้องสร้างเสริมให้บุคคลคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็นและสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างตามอัตภาพ
                2) การศึกษาจะต้องสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น และการประกอบอาชีพในท้องถิ่น
                3) การศึกษาจะต้องสร้างบุคคลให้มีพื้นฐานความรู้ทางด้านวิชาชีพที่เหมาะสมกับวัย และระดับการศึกษา
                4) การจัดการศึกษาจะต้องปลูกฝังและสร้างบุคคลให้มีความสำนึก รับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาท้องถิ่นอันเป็นแหล่งภูมิลำเนาของตน
                5) ในการจัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนจะต้องให้เอกชน สถานประกอบการ และท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษาทางด้านวิชาชีพการเลี้ยงดูอบรมเด็ก และการรักษาดุลยภาพของสังคมในด้านกำลังคน
                ดังนั้น แนวการจัดระบบการศึกษาควรพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
                1) ควรจัดเป็นระบบคู่ขนานระหว่างในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียนเพื่อให้โอกาสแก่ทุกคนในทุกสถานการณ์ และสอดคล้องกับความจำเป็น
                2) ควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานและสถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมฝึกอบรมบุคลากรตามความต้องการของตน และสังคม
                3) จะต้องสอดคล้องกับอาชีพของแต่ละท้องถิ่น และความเป็นจริงในสังคม
                4) จะต้องเบ็ดเสร็จในตัวเองทุกระดับ เพื่อให้คนออกสู่ตลาดแรงงานมากกว่าการเรียนต่อในระดับสูง
                5) จะต้องชักจูงให้คนสามารถประกอบอาชีพส่วนตัวได้
                6) จะต้องเป็นการศึกษาที่มุ่งปรับปรุงตน เพื่อให้สามารถพัฒนาอาชีพพื้นบ้านด้วยการใช้เทคโนโลยีและวิธีการที่เหมาะสม และเป็นการศึกษาที่ควรให้ผู้เข้ารับการศึกษาอยู่ในท้องถิ่นมากกว่าตัวเมือง
                7) จะต้องเป็นการศึกษาที่สามารถปรับปรุงมาตรฐานการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพด้วยการพิจารณา และเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาเป็นอยู่ และมีอยู่
                8) จะต้องเน้นการปฏิบัติควบคู่ไปกับการเรียนทางวิชาการ
                9) การฝึกอาชีพและการฝึกบุคคลให้เป็นพลเมืองดีจะต้องจัดทำควบคู่กับไป ไม่ควรแยกห่างจากกัน
                10) ระบบการศึกษาและระบบอื่นๆ ของสังคม จะต้องประสานสัมพันธ์เกื้อหนุนกัน และไม่ควรแยกชนบทและเมืองออกจากกัน
                11) ระบบโรงเรียนทุกประเภทและระดับจะต้องประสานสัมพันธ์กัน และเกื้อหนุนกัน
                พนม พงษ์ไพบูลย์ (2533) ได้เสนอรูปแบบ และระบบการศึกษาที่พึงประสงค์เพื่อสนองความต้องการในการพัฒนาประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการศึกษาที่ดี โดยกำหนดเป็นเชิงแนวทาง หลักการในการกำหนดจุดหมาย หลักการจัดการศึกษา และวิธีจัดการศึกษา
                สำหรับหลักการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และคุณภาพควรยึดหลักการต่อไปนี้
                1. หลักความกว้างขวางและเป็นธรรม เพื่อให้แต่ละคนไม่ว่าจะแตกต่างกันด้านเพศ วัย และฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ได้มีโอกาสได้รักการบริหารการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการ และความสามารถ ณ ถิ่นที่อยู่ของตนได้อย่างตลอดเวลาและต่อเนื่องกันตลอดชีวิต
                2. หลักความสมดุล ควรจัดการศึกษาให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสมดุลระหว่างปัญญา คุณธรรมและสมรรถภาพพื้นฐานกับความรู้และทักษะสำหรับการประกอบอาชีพ
                3. หลักความสอดคล้อง นั่นคือ สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และของสังคมในระดับต่างๆ ทั้งในเขตเมืองและชนบท
                4. หลักความหลากหลาย การจัดการศึกษาควรจัดให้มีความหลากหลายทั้งรูปแบบ เนื้อหาและวิธีการ

3. พัฒนาการของระบบการศึกษาไทย
               
 
ระบบการศึกษาของไทยมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น สมัย คือ
                สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
                สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
                - สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534
                - สมัยปัจจุบันตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535
                ลักษณะของระบบการศึกษาทั้ง 4 สมัย ดังกล่าว พอประมวลสรุปได้ดังนี้

                1. สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
                                ลักษณะของระบบการศึกษาในช่วงนี้ยังไม่เป็นแบบแผนชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาสำหรับเด็กชาย ซึ่งเป็นการศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการและศิลปะ สถานที่การศึกษามักเป็นที่วัด ราชสำนัก และบ้านเจ้านายชั้นสูง การศึกษาด้านวิชาชีพจะมีสอนและถ่ายทอดภายในวงศ์ตระกูล และในหมู่เครือญาติ ส่วนเด็กหญิงจะมีการฝึกงานบ้านในครอบครัว ราชสำนัก และบ้านเจ้านายชั้นสูง ประชาชนนิยมนำบุตรหลานไปไว้กับเจ้านายและผู้มีศักดินาสูงเพื่อให้ใช้สอย และฝึกงานเพื่อคาดหมายว่าจะได้มีโอกาสเข้ารับราชการ ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ต่อไป
                                อย่างไรก็ดี ประเทศตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในการศึกษาไทยในสมัยอยุธยา โดยเฉพาะประเทศโปรตุเกสเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและต่อจากนั้นก็มีประเทศอื่นๆ ติดตามมา

2. สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475         
                ลักษณะการศึกษาในช่วงนี้เริ่มเป็นระบบแบบแผน แต่ยังไม่เป็นมาตรฐานนัก นับเป็นช่วงที่การศึกษาเจริญรุ่งเรืองมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาในฐานะที่เป็นรากฐานของความสำเร็จในทุกด้าน ผู้ได้รับการศึกษาในวิชาการสมัยใหม่จะสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาบ้านเมือง ดังนั้น จึงทรงส่งเสริมให้จัดการศึกษาแบบตะวันตก คณะสอนศาสนาชาวอเมริกันมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทยเป็นอย่างมาก เริ่มมีการตั้งโรงเรียนเพื่อฝึกคนเข้ารับราชการ มีการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรทั่วไป สถาปนามหาวิทยาลัยแห่งแรกขึ้น คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในช่วงนี้มีโครงการศึกษาและแผนการศึกษาขึ้นหลายฉบับ อย่างไรก็ดี ในแต่ละฉบับมิได้ระบุจุดมุ่งหมายไว้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2464 เพื่อให้ประชาชนเข้ารับการศึกษาโดยถ้วนหน้า

                3. สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534
                                ในช่วงนี้การศึกษาของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด มีแผนการศึกษาชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติเกิดขึ้นหลายฉบับจนถึงแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 ในแต่ละแผนมีความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาในแต่ละยุคแต่ละสมัยโดยทุกแผนระบุจุดมุ่งหมายของการศึกษาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ชัดเจน และเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ลักษณะของการศึกษาค่อนข้างเอนเอียงไปตามแนวคิดด้านการศึกษาของอเมริกา โดยปรากฏชัดเจนในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เหตุการณ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดด้านการศึกษามาก โดยมุ่งเน้นการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาคนในการออกไปรับใช้สังคม และประเทศชาติ ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2517 ซึ่งเน้นการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม ข้อสังเกตของระบบการศึกษาในช่วงนี้ก็คือ ส่วนใหญ่เน้นการศึกษาในระบบโรงเรียน
                                เมื่อมีประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 การศึกษาจะเน้นหนักให้เป็นการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม เป็นกระบวนการต่อเนื่องกันตลอดชีวิต มุ่งพัฒนาคุณภาพพลเมืองให้สามารถดำรงชีวิต ทำประโยชน์แก่สังคม
                                แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับนี้แบ่งระบบการศึกษาเป็น ระบบชัดเจน คือ
                                การศึกษาในระบบโรงเรียน และ
                                การศึกษานอกโรงเรียน
                                การศึกษาในระบบโรงเรียนมี ระดับ คือ ก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา โดยการจัดการมีลักษณะและประเภทต่างๆ เพื่อให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา

4. สมัยปัจจุบันตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535
                แผนการศึกษา พ.ศ. 2535 ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน มีลักษณะที่ปรากฏหลายประการได้แก่
                1) กำหนดหลักการ ที่สำคัญ หลักการ
                                - หลักการสร้างความเจริญงอกงามและหลักความสมดุลระหว่างความเจริญทางจิตใจกับทางวัตถุและเศรษฐกิจ
                                หลักการกลมกลืนและเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
                                หลักการความก้าวทันกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งควบคู่ไปกับคุณค่าทางภูมิปัญญา ภาษา และวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นและสังคมไทย
                                หลักความสมดุลระหว่างการพึงพาอาศัยกันกับการพึ่งพาตนเอง
                                2) กำหนดจุดมุ่งหมาย ที่ครอบคลุมทั้งด้านปัญญา ด้านจิตใจ ด้านร่างกายและด้านสังคม                  3) วางระบบการศึกษา ซึ่งให้บุคคลได้ศึกษาและเรียนรู้ต่อเนื่องไปตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาตนเองทั้ง ด้านอย่างสมดุล และสามารถสร้างเสริมความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กล่าวคือ
                                                เปิดโอกาสให้บุคคลเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองได้เหมาะสมกับวัย
                                                แบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับก่อนประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา (มี 2 ตอน คือ ตอนต้นและตอนปลาย) และระดับอุดมศึกษา
                                                จัดการศึกษาประเภทต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ชุมชน และประเทศ ได้แก่ การฝึกหัดครู การศึกษาวิชาชีพ การศึกษาวิชาชีพพิเศษ การศึกษาวิชาชีพเฉพาะกิจหรือเฉพาะบุคคลบางกลุ่ม การศึกษาพิเศษ และการศึกษาของภิกษุ สามเณร นักบวช และบุคลากรทางศาสนา
                                4) กำหนดแนวนโยบายการศึกษา ไว้ 19 ประการเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน เช่น
                
          ให้การศึกษาระดับมัธยมศึกษาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของปวงชน
          ปฏิรูปการฝึกหัดครู และการพัฒนาครูประจำการ
          ส่งเสริมให้มีการศึกษาภาษาต่างประเทศที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างกว้างขวาง


บุคลากรทางการศึกษา




ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 






            ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นบุคลากรของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในราชการไทย ในอดีตมีชื่อเรียกว่า "ข้าราชการครู" ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการครูที่สังกัดการปกครองส่วนท้องถิ่นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าราชการครูองค์การบริหารส่วนจังหวัด พนักงานครูเทศบาล พนักงานครูองค์การบริหารส่วนตำบล ปัจจุบันมี 3 ประเภท

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

งานส่งก่อนสอบ

http://goo.gl/forms/pehv2jtqsy

อดีตคือบทเรียน







    สื่อการสอนเรื่อง  การสะกดคำ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสะกดคํา
การสะกดคำ หมายถึง การอ่านโดยนำพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดมาประสมเป็นคำอ่าน ถือเป็นเครื่องมือการอ่านคำใหม่ ซึ่งต้องให้นักเรียนสังเกตรูปคำพร้อมกับการอ่านการเขียน เมื่อสะกดคำจนจำคำอ่านได้แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องใช้วิธีการสะกดคำนั้น ให้อ่านเป็นคำได้เลย จะทำให้นักเรียนอ่านจับใจความได้และอ่านได้เร็ว
การสะกดคำมีหลายวิธี ได้แก่
            ๑.สะกดตามรูปคำ
        เช่น กา สะกดว่า กอ – อา – กา
   คาง สะกดว่า คอ – อา – งอ – คาง
   ค้าง สะกดว่า คอ – อา – งอ – คาง – ไม้โท – ค้าง
๒.สะกดโดยสะกดแม่ ก กา ก่อน แล้วจึงสะกดมาตราตัวสะกด
        เช่น คาง สะกดว่า คอ – อา – คา – คา – งอ – คาง
   ค้าง สะกดว่า คอ – อา – คา – คา – งอ – คาง – คาง – โท – ค้าง
๓.คำที่มีสระอยู่หน้าพยัญชนะ ให้สะกดพยัญชนะก่อนสระเสมอ
        เช่น เก สะกดว่า กอ – เอ – เก
   ไป สะกดว่า ปอ – ไอ – ไป
๔.คำที่เป็นสระลดรูปหรือสระเปลี่ยนรูป อาจสะกดได้ดังนี้
        เช่น กัน สะกดว่า กอ – อะ – นอ – กัน หรือ กอ – ไม้หันอากาศ – นอ – กัน
   คน สะกดว่า คอ – โอะ – นอ – คน หรือ คอ – นอ – คน
   แข็ง สะกดว่า ขอ – แอะ – งอ – แข็ง หรือ ขอ – แอะ – ไม้ไต่คู้ – งอ – แข็ง
        เค็ม สะกดว่า คอ – เอะ – มอ – เค็ม หรือ คอ – เอะ – ไม้ไต่คู้ – มอ – เค็ม
     ๕.คำอักษรควบ อาจสะกดได้ดังนี้
๕.๑ สะกดเรียงตัวอักษร มุ่งเพื่อการเขียนให้ถูกต้อง
 เช่น กลอง สะกดว่า กอ – ลอ – ออ – งอ – กลอง
    พราง สะกดว่า พอ – รอ – อา – งอ – พราง
    กวาง สะกดว่า กอ – วอ – อา – งอ – กวาง
๕.๒ สะกดตัวควบพร้อมกัน มุ่งเพื่อออกเสียงคำควบกล้ำให้ชัด
 เช่น กลอง สะกดว่า กลอ – ออ – งอ – กลอง
    พราง สะกดว่า พรอ – อา – งอ – พราง
    กวาง สะกดว่า กวอ – อา – งอ – กวาง
๖.คำอักษรนำ อาจสะกดได้ดังนี้
๖.๑ สะกดเรียงตัวอักษร มุ่งเพื่อการเขียนให้ถูกต้อง
 เช่น อยาก สะกดว่า ออ – ยอ – อา – กอ – อยาก
    หนา สะกดว่า หอ – นอ – อา – หนา
    สนาม สะกดว่า สอ – นอ – อา – มอ – สนาม
๖.๒ อ่านอักษรนำแล้วจึงสะกด มุ่งเพื่อออกเสียงคำให้ถูกต้อง 
     เช่น อยาก สะกดว่า หยอ – อา – กอ – อยาก
    หนา สะกดว่า หนอ – อา – หนา
    สนาม สะกดว่า สะหนอ – อา – มอ – สนาม
๗.คำที่ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด คำที่มีตัวการันต์ ให้ใช้หลักสังเกตรูปคำ รู้ความหมายของคำและจำคำให้ได้โดยอ่านและเขียนอยู่เสมอ เช่น เหตุ จันทร์