ระบบการศึกษาไทย
1. ความหมายและแนวคิด
ระบบการศึกษา หมายถึง
การกำหนดหลักสูตร จุดมุ่งหมาย แนวนโยบาย ระบบการจัด และแนวทางในการจัดการศึกษา
เพื่อให้การศึกษาช่วยพัฒนาชีวิตของคนไปในแนวทางที่พึงประสงค์
การศึกษาเป็นกระบวนการสร้างและพัฒนาประชากรของประเทศให้มีพลัง
มีความสามารถที่จะพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างมีสันติสุข
การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือพัฒนาพัฒนาประชากรและประเทศชาติ
และการที่จะดำเนินไปได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพจะต้องอาศัยกระบวนการศึกษาที่ได้รับการพัฒนามีดีแล้ว
การศึกษามีส่วนสำคัญและจำเป็นในการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม
เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรม
และสร้างภูมิปัญญาให้แก่สังคม
ระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพต้องมีเนื้อหาสาระ
และกระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ มีหลักการที่ดี
และจำเป็นต้องอาศัยการบริหารที่กระจายอำนาจให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด
ระบบการศึกษาได้รับการพัฒนามาตลอด
แต่ยังไม่สามารถบรรลุผลตามที่กำหนดไว้เท่าใดนัก
เพราะยังมีปัญหาด้านคุณภาพของผลผลิต ด้านการกระจายโอกาสทางการศึกษา
ด้านการบริหารการศึกษา และด้านการระดมสรรพกำลังเพื่อจัดการศึกษา
ความจำเป็นในการปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับเงื่อนไข
และการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างเป็นระยะๆ
เป็นสิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องตระหนัก
ทั้งนี้เพื่อให้สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสมกับสภาพ
และความต้องการของประเทศในอนาคต
ดังนั้น การพัฒนาพลเมืองของประเทศให้เป็นผู้มีปัญญา มีคุณธรรม
มีความสามารถพื้นฐานหรือศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป
กอปรทั้งให้ความสามารถประกอบอาชีพหรือเป็นแรงงานสำหรับพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการศึกษาที่ดี
ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องมีความยืดหยุ่น ให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสนใจ
ความพร้อม ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและตลอดชีวิต
มีเครือข่ายการเรียนรู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้ประเภทต่างๆ จากแหล่งต่างๆ
ไปยังผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่องโดยอาศัยทั้งระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และถึงระบบโรงเรียน
2. ระบบการศึกษาที่ดี
ระบบการศึกษามีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัดการศึกษาของประเทศ
ถ้าระบบการศึกษาที่กำหนดไว้ดี สอดคล้องกับสภาพ ปัญหา
และความต้องการของทั้งส่วนตนและประเทศก็จะส่งผลดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมือง
เพราะการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนา
ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ และคณะ(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2524) ได้เสนอแนวคิดและหลักการปรับปรุงระบบการศึกษาไว้พอสรุปได้ดังนี้
เนื่องจากระบบการศึกษามีผลเกี่ยวโยงถึงด้านกำลังคนหรือกำลังแรงงานของประเทศในระดับต่างๆ
เพราะระบบการศึกษาเป็นกระบวนการผลิตกำลังคนที่สำคัญยิ่ง
ดังนั้นจึงควรอยู่ในกรอบแนวคิดต่อไปนี้
1) กำหนดความมุ่งหมายในการจัดการศึกษา
โดยเน้นความมุ่งหมายหลัก 3 ประการ คือ
(1)
ต้องจัดการศึกษาเพื่อให้เป็นคนรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล
มีระเบียบวินัยและขยันขันแข็งในอาชีพการงาน
(2)
ต้องจัดการศึกษาให้มีทักษะในวิชาชีพ
และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
(3) ต้องจัดการศึกษาโดยระดมสรรพกำลังจากภาคเอกชน
สถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอบรม
2) จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการเกษตรแผนใหม่ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการจัดการที่เหมาะสม
เพราะเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของคนส่วนใหญ่ ดังนั้นระบบการศึกษาจะต้องพัฒนาบุคคลให้มีทักษะในวิชาชีพอย่างแท้จริงและนำเอาการศึกษานอกระบบโรงเรียน
และการฝึกปฏิบัติการมาใช้
3) จัดระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับการประกอบอาชีพ
โดยการนำเทคนิควิทยามาใช้ กอปรทั้งให้รู้ถึงการจัดการ การตลาด และการวิจัยค้นคว้า
4) จัดแก้ไขปัญหาการผลิตกำลังคน
โดยการขยายสวัสดิการสังคม การส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ และการสร้างงานใหม่ๆ
5) จัดระบบการศึกษาที่ส่งเสริมการจัดวิชาชีพทั้งในระบบโรงเรียน
นอกระบบโรงเรียน การส่งเสริมอาชีพ ตลอดทั้งการวิจัย และส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาชนบท
ในการพิจารณาปรับปรุงระบบการศึกษานั้น ควรยึดหลักการต่อไปนี้
1) การศึกษาต้องสร้างเสริมให้บุคคลคิดเป็น
ทำเป็น แก้ปัญหาเป็นและสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างตามอัตภาพ
2) การศึกษาจะต้องสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น
และการประกอบอาชีพในท้องถิ่น
3) การศึกษาจะต้องสร้างบุคคลให้มีพื้นฐานความรู้ทางด้านวิชาชีพที่เหมาะสมกับวัย
และระดับการศึกษา
4) การจัดการศึกษาจะต้องปลูกฝังและสร้างบุคคลให้มีความสำนึก
รับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาท้องถิ่นอันเป็นแหล่งภูมิลำเนาของตน
5) ในการจัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนจะต้องให้เอกชน
สถานประกอบการ และท้องถิ่น
เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษาทางด้านวิชาชีพการเลี้ยงดูอบรมเด็ก
และการรักษาดุลยภาพของสังคมในด้านกำลังคน
ดังนั้น แนวการจัดระบบการศึกษาควรพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
1) ควรจัดเป็นระบบคู่ขนานระหว่างในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียนเพื่อให้โอกาสแก่ทุกคนในทุกสถานการณ์
และสอดคล้องกับความจำเป็น
2) ควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานและสถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมฝึกอบรมบุคลากรตามความต้องการของตน
และสังคม
3) จะต้องสอดคล้องกับอาชีพของแต่ละท้องถิ่น
และความเป็นจริงในสังคม
4) จะต้องเบ็ดเสร็จในตัวเองทุกระดับ
เพื่อให้คนออกสู่ตลาดแรงงานมากกว่าการเรียนต่อในระดับสูง
5) จะต้องชักจูงให้คนสามารถประกอบอาชีพส่วนตัวได้
6) จะต้องเป็นการศึกษาที่มุ่งปรับปรุงตน
เพื่อให้สามารถพัฒนาอาชีพพื้นบ้านด้วยการใช้เทคโนโลยีและวิธีการที่เหมาะสม
และเป็นการศึกษาที่ควรให้ผู้เข้ารับการศึกษาอยู่ในท้องถิ่นมากกว่าตัวเมือง
7) จะต้องเป็นการศึกษาที่สามารถปรับปรุงมาตรฐานการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพด้วยการพิจารณา
และเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาเป็นอยู่ และมีอยู่
8) จะต้องเน้นการปฏิบัติควบคู่ไปกับการเรียนทางวิชาการ
9) การฝึกอาชีพและการฝึกบุคคลให้เป็นพลเมืองดีจะต้องจัดทำควบคู่กับไป
ไม่ควรแยกห่างจากกัน
10) ระบบการศึกษาและระบบอื่นๆ ของสังคม
จะต้องประสานสัมพันธ์เกื้อหนุนกัน และไม่ควรแยกชนบทและเมืองออกจากกัน
11) ระบบโรงเรียนทุกประเภทและระดับจะต้องประสานสัมพันธ์กัน
และเกื้อหนุนกัน
พนม พงษ์ไพบูลย์ (2533) ได้เสนอรูปแบบ
และระบบการศึกษาที่พึงประสงค์เพื่อสนองความต้องการในการพัฒนาประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการศึกษาที่ดี
โดยกำหนดเป็นเชิงแนวทาง หลักการในการกำหนดจุดหมาย หลักการจัดการศึกษา
และวิธีจัดการศึกษา
สำหรับหลักการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
และคุณภาพควรยึดหลักการต่อไปนี้
1. หลักความกว้างขวางและเป็นธรรม เพื่อให้แต่ละคนไม่ว่าจะแตกต่างกันด้านเพศ วัย
และฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
ได้มีโอกาสได้รักการบริหารการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการ และความสามารถ
ณ ถิ่นที่อยู่ของตนได้อย่างตลอดเวลาและต่อเนื่องกันตลอดชีวิต
2. หลักความสมดุล ควรจัดการศึกษาให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสมดุลระหว่างปัญญา
คุณธรรมและสมรรถภาพพื้นฐานกับความรู้และทักษะสำหรับการประกอบอาชีพ
3. หลักความสอดคล้อง นั่นคือ สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
และของสังคมในระดับต่างๆ ทั้งในเขตเมืองและชนบท
4. หลักความหลากหลาย การจัดการศึกษาควรจัดให้มีความหลากหลายทั้งรูปแบบ
เนื้อหาและวิธีการ
3. พัฒนาการของระบบการศึกษาไทย
ระบบการศึกษาของไทยมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง
เป็นระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น 4 สมัย
คือ
- สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
- สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
- สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534
- สมัยปัจจุบันตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535
ลักษณะของระบบการศึกษาทั้ง 4 สมัย
ดังกล่าว พอประมวลสรุปได้ดังนี้
1. สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ลักษณะของระบบการศึกษาในช่วงนี้ยังไม่เป็นแบบแผนชัดเจน
ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาสำหรับเด็กชาย ซึ่งเป็นการศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการและศิลปะ
สถานที่การศึกษามักเป็นที่วัด ราชสำนัก และบ้านเจ้านายชั้นสูง
การศึกษาด้านวิชาชีพจะมีสอนและถ่ายทอดภายในวงศ์ตระกูล และในหมู่เครือญาติ
ส่วนเด็กหญิงจะมีการฝึกงานบ้านในครอบครัว ราชสำนัก และบ้านเจ้านายชั้นสูง ประชาชนนิยมนำบุตรหลานไปไว้กับเจ้านายและผู้มีศักดินาสูงเพื่อให้ใช้สอย
และฝึกงานเพื่อคาดหมายว่าจะได้มีโอกาสเข้ารับราชการ ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ต่อไป
อย่างไรก็ดี ประเทศตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในการศึกษาไทยในสมัยอยุธยา
โดยเฉพาะประเทศโปรตุเกสเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและต่อจากนั้นก็มีประเทศอื่นๆ
ติดตามมา
2. สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ลักษณะการศึกษาในช่วงนี้เริ่มเป็นระบบแบบแผน แต่ยังไม่เป็นมาตรฐานนัก
นับเป็นช่วงที่การศึกษาเจริญรุ่งเรืองมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาในฐานะที่เป็นรากฐานของความสำเร็จในทุกด้าน
ผู้ได้รับการศึกษาในวิชาการสมัยใหม่จะสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาบ้านเมือง
ดังนั้น จึงทรงส่งเสริมให้จัดการศึกษาแบบตะวันตก คณะสอนศาสนาชาวอเมริกันมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทยเป็นอย่างมาก
เริ่มมีการตั้งโรงเรียนเพื่อฝึกคนเข้ารับราชการ
มีการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรทั่วไป สถาปนามหาวิทยาลัยแห่งแรกขึ้น คือ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในช่วงนี้มีโครงการศึกษาและแผนการศึกษาขึ้นหลายฉบับ
อย่างไรก็ดี ในแต่ละฉบับมิได้ระบุจุดมุ่งหมายไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนั้นยังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2464 เพื่อให้ประชาชนเข้ารับการศึกษาโดยถ้วนหน้า
3. สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534
ในช่วงนี้การศึกษาของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
มีแผนการศึกษาชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติเกิดขึ้นหลายฉบับจนถึงแผนการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2520 ในแต่ละแผนมีความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาในแต่ละยุคแต่ละสมัยโดยทุกแผนระบุจุดมุ่งหมายของการศึกษาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ชัดเจน
และเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ลักษณะของการศึกษาค่อนข้างเอนเอียงไปตามแนวคิดด้านการศึกษาของอเมริกา
โดยปรากฏชัดเจนในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เหตุการณ์ในเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2516 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดด้านการศึกษามาก
โดยมุ่งเน้นการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาคนในการออกไปรับใช้สังคม
และประเทศชาติ ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2517 ซึ่งเน้นการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม
ข้อสังเกตของระบบการศึกษาในช่วงนี้ก็คือ ส่วนใหญ่เน้นการศึกษาในระบบโรงเรียน
เมื่อมีประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 การศึกษาจะเน้นหนักให้เป็นการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม
เป็นกระบวนการต่อเนื่องกันตลอดชีวิต มุ่งพัฒนาคุณภาพพลเมืองให้สามารถดำรงชีวิต
ทำประโยชน์แก่สังคม
แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับนี้แบ่งระบบการศึกษาเป็น 2 ระบบชัดเจน คือ
- การศึกษาในระบบโรงเรียน และ
- การศึกษานอกโรงเรียน
การศึกษาในระบบโรงเรียนมี 4 ระดับ
คือ ก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
โดยการจัดการมีลักษณะและประเภทต่างๆ เพื่อให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา
4. สมัยปัจจุบันตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535
แผนการศึกษา พ.ศ. 2535 ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
มีลักษณะที่ปรากฏหลายประการได้แก่
1) กำหนดหลักการ ที่สำคัญ 4 หลักการ
- หลักการสร้างความเจริญงอกงามและหลักความสมดุลระหว่างความเจริญทางจิตใจกับทางวัตถุและเศรษฐกิจ
- หลักการกลมกลืนและเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
- หลักการความก้าวทันกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่
ซึ่งควบคู่ไปกับคุณค่าทางภูมิปัญญา ภาษา
และวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นและสังคมไทย
- หลักความสมดุลระหว่างการพึงพาอาศัยกันกับการพึ่งพาตนเอง
2) กำหนดจุดมุ่งหมาย ที่ครอบคลุมทั้งด้านปัญญา ด้านจิตใจ ด้านร่างกายและด้านสังคม 3) วางระบบการศึกษา ซึ่งให้บุคคลได้ศึกษาและเรียนรู้ต่อเนื่องไปตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาตนเองทั้ง 4 ด้านอย่างสมดุล
และสามารถสร้างเสริมความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กล่าวคือ
- เปิดโอกาสให้บุคคลเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองได้เหมาะสมกับวัย
- แบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับก่อนประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา (มี 2 ตอน คือ ตอนต้นและตอนปลาย) และระดับอุดมศึกษา
- จัดการศึกษาประเภทต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม
และตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ชุมชน และประเทศ ได้แก่ การฝึกหัดครู
การศึกษาวิชาชีพ การศึกษาวิชาชีพพิเศษ
การศึกษาวิชาชีพเฉพาะกิจหรือเฉพาะบุคคลบางกลุ่ม การศึกษาพิเศษ และการศึกษาของภิกษุ
สามเณร นักบวช และบุคลากรทางศาสนา
4) กำหนดแนวนโยบายการศึกษา ไว้ 19 ประการเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน
เช่น
- ปฏิรูปการฝึกหัดครู และการพัฒนาครูประจำการ
- ส่งเสริมให้มีการศึกษาภาษาต่างประเทศที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างกว้างขวาง